ฉันจำได้ลืนลาง นานมาแล้วที่ไม่ได้ป่ายปีนต้นไม้ แต่มาวันนี้ แม่ฉันอยากได้ดอกสะเดาลวกไปถวายพระและให้ญาติโยมที่มาวัดทานกันให้อร่อย ตามประสาคนวัยสูงอายุ ว่าไปนั้น! แม่ร้องขอให้ฉันไปเรียกเด็กชายที่รู้จักให้มาช่วยปีนต้นสะเดาเพื่อเอาดอกสะเดาลงมาตามวัตถุประสงค์ แต่เนื่องด้วยความขี้เกียจของตัวฉันเองที่จะไปเรียกเด็กชายพร้อมกับบ้านที่อยู่ห่างไกลกันเป็นกิโลแม้ว ฉันเลยสวมความจำเป็นปลอมตัวเป็น “นายลิง” ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เสีย โอ้!! ฉันเริ่มคลางในใจ ต้นก็ไม่สูงเท่าไหร่เมื่อเทียบอายุต้นสะเดา...อ่อนกว่าฉัน 20 ปี เอง ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฉันใช้พลังแขนคว้ากิ่งที่แข็งแรงแล้วดันตัวเองปีนป่ายขึ้นไปบนต้นจนสำเร็จระยะเวลาร่วม 10 นาที จากระยะทางพื้นดินมุ่งสู่กลางลำต้น จิ๊บๆ 8 เมตร กว่าๆ ฉันหอบ หัวใจสั่น เหงื่อแตกพลั่ก ทั้งฝ่ามือและฝ่าเท้า ฉันไม่ได้ร้อน อากาศรอบข้างมีลมโชยของยามหนาวในตอนเย็นย่ำ แรงของลมปะทะมาอย่างเอื่อยๆ แต่ฉันกอดต้นสะเดาไว้แน่น เพราะกลัวจะร่วงลงสู่พื้น ฉันเริ่มปฏิบัติการ “นายลิง” โดยค่อยๆ ใช้แขนที่เหลือคว้ากิ่งที่มีดอกสะเดาเป็นพุ่มหักให้ร่วงลงไปยังพื้นที่มีแม่รอเก็บ ฉันเด็ดก้านดอกสะเดา แล้วก็ เด็ด! เด็ด! เด็ด! จนมืออันสั้นได้มาตรฐานของฉันมีรัศมีที่เอื้อมไม่ถึงก้านดอกสะเดาอีกต่อไปแล้ว ฉันจึงร้องถามแม่ว่า “พอรึยัง...แม่”-“ยัง” นั้นคือคำตอบของแม่ แม่ส่งไม้สอยแถมท้าย ฉันใช้ความสามารถที่เหลือคว้าไม้สอยอีกแขนยังโอบกอดต้นไว้แน่น พร้อมใช้พลกำลังของอีกแขนจับไม้ สอยก้านดอกสะเดาที่อยู่ห่างตัวฉันออกไปหลายช่วงตัว สอยไป! สอยไป! สอยไป! ดอกสะเดาร่วงหล่น ร่วงหล่น ภาพที่สวยงามยามเย็นที่น่าประทับใจที่สุด แม่ก้มเก็บก้านดอกสะเดาอยู่ด้านล่างนั้น! ผมของแม่เต็มไปด้วยดอกสะเดาดอกเล็กเล็ก สีขาวขาว กระจายอยู่เต็มผม แม่เราสวยจัง ! ฉันร้องถามแม่อีกครั้ง “พอรึยัง...แม่”-“ยัง” ยังเป็นคำตอบของแม่อยู่ ฉันสอยจนหมดความสามารถ“นายลิง” เหนื่อยหอบเหมือนวิ่ง 1,000 เมตร ขาสั่นเหมือนใจจะขาด แล้วมีเสียงสวรรค์ของแม่ร้องว่า “พอแล้ว...เยอะแล้ว” สมองของฉันเริ่มประมวลวิชาฟิสิกส์เพื่อที่จะนำมวลสารขนาดใหญ่ลงสู่พื้น...ได้คำตอบ...ฉันปีนป่ายด้วยพลังมหาศาลพร้อมกับพรสวรรค์ในการไต่เหมือนมดแดงฉันก็ถึงพื้นดินจนสำเร็จ หัวใจยังเต้นระส่ำเหมือนเดิม ขาอ่อน เข่าอ่อน ชาไปหมดทั้งร่าง รวบรวมสติได้ ไปเก็บก้านดอกสะเดาที่หล่นกระจัดกระจายรวบรวมให้แม่จนหมด แล้วแม่ก็เด็ดส่วนของใบทิ้งเก็บแต่ส่วนของก้านดอก (แม่บอกว่ามันอร่อย) ไปลวก ฉันจึงกลับมายืนแหงนดูต้นสะเดาอีกครั้ง ฉันขึ้นไปได้ไง! แต่มีคำตอบอยู่ข้างๆ กาย ก็ “แม่” ไง! แม่บอกไว้เป็นลาง “เอาไว้คราวหน้าค่อยขึ้นไปเอาอีก” ฉันได้แต่ยิ้มแบบ “นายลิง” อยู่ในใจ สะเดา! สะเดา! สะเดา! มาเรียนรู้ประโยชน์ของสะเดากันดีกว่า...
สะเดามีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Azadirachta indica Juss. Var. siamensis Valeton
จัดอยู่ในพืชวงศ์ MELIACAAE
มีชื่อสามัญรู้จักกันในนาม Neem Tree
มีชื่อทางภาษาอังกฤษว่า Indian Lilac, Margosa
มีชื่อท้องถิ่น ภาคเหนือ (ประเทศไทย) สะเลียม
ภาคอีสาน (ประเทศไทย) กะเดา, กาเดา
ภาคใต้ (ประเทศไทย) กะเดา, ไม้เดา, เดา
ประเทศอินเดียเรียกขานตามภาษาฮินดีว่า Nim, Nimb
ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ต้นขนาดกลางสูง 12-15 เมตร ขึ้นได้ในป่าหรือปลูกไว้ตามบ้าน ทุกส่วนมีรสขม เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ เปลือกของลำต้นสีน้ำตาลเทาหรือเทาปนดำ แตกระแหงเป็นร่องเล็กๆ ตามต้นแต่เปลือกของกิ่งอ่อนเรียบ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเวียนเป็นเกลียวตรงปลายกิ่ง ใบย่อยรูปหอก ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อยปลายมนบ้างแหลมบ้าง ใบอ่อนรสขมเล็กน้อย ตอนปลายกิ่งผลิใบใหม่พร้อมกับผลิดอกในฤดูหนาว ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบและตรงปลายกิ่ง ดอกสีขาว ดอกตูมรูปร่างกลม สีเขียวอ่อน หรือขาวอมเขียว ผล กลมรี หรือกลมยาวเล็กน้อย อวบน้ำ ผลแก่สีเหลือง ภายในผลมี 1 เมล็ด ส่วนที่ใช้เป็นอาหาร ใบอ่อน ยอดอ่อน ดอกอ่อนนำมาลวกรับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริก หรือน้ำปลาหวาน หรือรับประทานสด การปลูก สะเดาเป็นไม้ดั้งเดิมของเขตเอเชียอาคเนย์ พบทั่วไปในประเทศ พม่า อินเดีย สะเดาพบในป่าเบญจพรรณและป่าแดง มักขึ้นปะปนกับไม้ใหญ่ สะเดาเป็นพันธุ์ไม้ปลูกง่ายโตเร็ว และเป็นพันธุ์บุกเบิกในที่แห้งแล้งได้ดี ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด หรือตอนกิ่ง
สรรพคุณยา ใบอ่อน แก้โรคผิวหนัง น้ำเหลืองไม่ดี และแผลพุพอง
ใบแก่ บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร และฆ่าแมลงศัตรูพืช
ก้าน แก้ไข้ บำรุงน้ำดี และแก้ร้อนในกระหายน้ำ
ดอก แก้พิษโลหิต พิษกำเดา แก้ริดสีดวง คันในลำคอและ บำรุงธาตุ
ลูก บำรุงหัวใจให้เต้นเป็นปกติ และฆ่าแมลงศัตรูพืช
สำหรับชาวอินเดีย พบเห็นการใช้สะเดาโดยทั่วไปเป็น “ยาสีฟันประจำบ้าน” ซึ่งเราจะเห็นก้านสะเดาถูกตัดขนาดพอประมาณวางขายทั่วบริเวณถนนในยามเช้า บริษัทเวชภัณฑ์ยาของอินเดียเช่น Good Care และ Himalaya นำสะเดามาสกัดเป็นยาบำรุงร่างกาย และส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น สบู่เหลวล้างหน้า ครีมพอกหน้า สบู่เหลวล้างมือ สรรพคุณของยาเม็ดสะเดาสกัดบำรุงร่างกาย เช่น บำรุงเลือดทำให้ผิวพรรณสวยงาม ป้องกันการเกิดสิว บำรุงระบบภูมิคุ้มกัน ต้านทานไวรัส ทำลายหนอนพยาธิในลำไส้ เป็นต้น
ประโยชน์สะเดามีมากมาย ขึ้นกับเราเองว่าจะเลือกนำส่วนไหนของต้นสะเดาหรือผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปออกมาวางจำหน่ายของสะดามาใช้ เพื่อสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นของตัวเราเอง
เด็กน้อย Botany วท.บ.,วท.ม.(มช.)
สะเดา
สมาคมนักศึกษาไทย ม.พาราณสี,
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552
นริตต้า กาจัล
สมาคมนักศึกษาไทย ม.พาราณสี,
อินเดีย คำ ๆ นี้หากใครได้ยินแล้ว ก็มักจะนึกถึงคำว่า “มนต์ขลังแห่งอินเดีย” จึงทำให้หลายต่อหลายคน ต่างวาดฝัน อยากจะมาพบกับ มนต์ขลังบนผืนดินถิ่นฮินดูแห่งนี้ นั่นเพราะอินเดีย เป็นดินแดนแห่งความลึกลับ ที่แฝงไปด้วยมนต์เสน่ห์ บางคนมาแล้วไม่อยากกลับ บางท่านกลับไปแล้วอยากมาอีก ให้มากครั้งที่สุด เท่าที่จะมีเวลามาได้
ชาวอินเดีย มีประเพณีวัฒนธรรมที่เป็นปึกแผ่น ยากยิ่งนักที่ชาวต่างชาติจะเข้าถึงและจะคงอยู่คู่กับพวกเขาไปตราบนานเท่านาน แม้แต่ประเทศมหาอำนาจบางประเทศเองก็ตามที ก็ไม่สามารถที่จะครอบครองวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งของอินเดียไปได้ เพราะอินเดียเป็นดินแดนแห่งมหาอาณาจักรที่รวบรวม ซึ่งความหลากหลาย ทั้งทันสมัย ล้าสมัย เก่า ใหม่ ให้รวมอยู่ด้วยกันอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
แล้วอะไรหล่ะ ที่เป็นมนต์เสน่ห์ ที่ทำให้ผู้คนต่างหลงใหล.....
ผู้หญิงอินเดีย เป็นส่วนหนึ่งที่รักษาประเพณี วัฒนธรรมของบรรพบุรุษของตนไว้ได้ อย่างมั่นคงและภาคภูมิ ทั้งสาวน้อย สาวใหญ่ของอินเดียในอดีต รู้จักแต่งตัว ใช้เครื่องประดับ ตามยุคตามสมัย เท่าที่จะมีกำลังหามาได้ ซึ่งแสดงถึงฐานะและชั้นวรรณะของแต่ละคน ปัจจุบันหญิงสาวอินเดียมีการพัฒนาขึ้น ซึ่งจะอยู่ในระดับกลาง ๆ ไม่ถึงกับฟู่ฟ่าจนเกินไป เรียกว่ามีความทันสมัยมากขึ้น แต่ก็ยังคงความเป็นอินเดีย ที่แฝงด้วยมนต์เสน่ห์อย่างเหนียวแน่นไว้ไม่จือจาง
ในคัมภีร์พระเวทภาษาสันสกฤต ซึ่งถือว่าเป็นภาษาโบราณของอินเดีย ได้กล่าวไว้ สำหรับหญิงสาวอินเดีย ที่จะต้องใช้เครื่องประดับ ๑๖ อย่าง ซึ่งเป็นรูปแบบเฉพาะของหญิงสาวอินเดีย เครื่องประดับ ๑๖ อย่างเหล่านี้ ประกอบด้วย
ข้อมือ, ตุ้มหู, ดอกไม้ประดับผม, กำไล, แหวน, กำไลแขน-ปลอกแขน, ผ้ารัดเอว, กำไลเท้า, ผงทาตาหรือคิ้วที่ทำให้ดำ, แหวนสวมนิ้วเท้า, สีย้อมมือย้อมเท้า (นิยมสีแดง), น้ำหอม, แป้งผสมกลิ่นจันทร์, เครื่องนุ่งห่มบนล่าง, ส่าหรี, และกาจัล ฯลฯ
กาจัล (kajaan) เป็นหนึ่งใน ๑๖ อย่าง ที่เราไม่ค่อยคุ้นหูกันเท่าไรนัก คนอินเดียเขาจะใช้กาจัลทาแก้ปวดเมื่อย โดยเฉพาะจะทารอบ ๆ ดวงตา จนกระทั่งนัยน์ตา คนอินเดียเขาจะมีความเชื่อว่า เมื่อทากาจัลแล้วจะทำให้นัยน์ตามีภูมิคุ้มกันที่ดี ไม่เป็นโรคตาได้ง่าย ที่พิเศษไปกว่านั้น จะทำให้มีพลังบางอย่างแฝงอยู่ที่นัยน์ตา เรามักจะเห็นคนอินเดียส่วนใหญ่ มีขอบตาดำ ๆ นั่นไม่ใช่เพราะนอนดึก หรือทำงานหนัก แต่เป็นเพราะคนอินเดีย เขาใช้กาจัลมาตั้งแต่เด็กเล็ก พอโตขึ้นขอบตาเลยดูคล้ำ ๆ แต่เวลาที่เรามองดูแล้ว เหมือนจะมีพลังบางอย่างแฝงอยู่จริง คนอินเดียเขามีกระบวนการทำกาจัล ซึ่งจะมีขั้นตอน ที่ละเอียดพอสมควร โดยจะเริ่มจากการนำมะพร้าวมาเผาจนเป็นสีดำ ใส่ส่วนประกอบบางอย่างมีเนยเป็นต้น เสร็จแล้วนั่นจึงเรียกวากาจัล คนอินเดียถือว่ากาจัล เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่ล้ำค่าและหวงแหนมาก ยากนักที่เผยให้ชาวต่างชาติได้รับรู้ถึงกรรมวิธีของการทำกาจัล ปัจจุบัน kajaan มีขายตามร้านทั่วไป มีทั้งตลับเล็กและตลับใหญ่
หญิงสาวอินเดียนั้น จะนำกาจัลมาใช้เป็นเครื่องสำอาง โดยจะใช้ทาคิ้วหรือขนตา ทำให้ดูดำขลับสวยงาม มีมนต์เสน่ห์ อย่างที่เราเคยได้ยินคำว่า “ผิวพม่านัยน์ตาแขก” กาจัลเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หญิงสาวชาวอินเดีย มีนัยน์ตาที่ดูแล้ว มีมนต์เสน่ห์ ไม่แพ้ชาติไหน ๆ เลยทีเดียว และในขณะเดียวกัน กาจัล จึงเป็นทั้งสมุนไพร เป็นทั้งเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ล้ำค่าของชาวอินเดียมาช้านาน
หญิงสาวอินเดีย เวลาแต่งตัว ก็มักจะมีเครื่องประดับ ๑๖ อย่างนี้เสมอ โดยเฉพาะเวลาเต้นรำ สิ่งที่จะขาดเสียมิได้ก็คือกาจัล เพราะมีความเชื่อว่า จะทำให้นัยน์ตามีพลัง ทำให้ต้องมนต์เสน่ห์ของตน เพราะคนอินเดียมีท่วงท่าการเต้นรำที่หลากหลาย รูปแบบของการเต้นรำของอินเดียเป็นแบบคลาสสิคเฉพาะของชาวอินเดีย จึงเรียกการเต้นรำนั้นว่า “นริตต้า”
นริตต้า เป็นต้นกำเนิดของชื่อการเต้นรำของอินเดีย ซึ่งแบ่งแยกออกเป็นส่วนย่อยได้อีกมาก เช่น การเต้นรำแบบนาฏยะ นาฏยะ คือส่วนย่อยของนริตต้า ซึ่งเกิดขึ้นภายในอินเดีย มานานกว่า ๕๐๐ ปี พร้อม ๆ กับกาจัล ที่เป็นเสมือนว่าจะต้องเป็นของคู่กัน การเต้นรำแบบ นริตต้า ของหญิงสาวอินเดีย จะมีพื้นฐานการเต้นรำอยู่ ๔ อย่าง พื้นฐาน ๔ อย่างที่ว่า คือ ธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยจะรวมเข้าในท่วงท่าที่เต้นรำทั้งหมด หญิงสาวอินเดีย เวลาเต้นรำ เขาจะมีพลังบางอย่าง ที่แฝงอยู่ในตัวและท่วงทำนองการเต้น จึงทำให้มีมนต์เสน่ห์ ที่แฝงด้วย พลังแห่งธาตุทั้ง ๔ ที่กลมกลืนกับเครื่องประดับ ทั้ง ๑๖ อย่าง เหมือนกับต้องมนต์เสน่ห์ ให้เพลิดเพลินกับการได้สัมผัส กับกลิ่นอายของดินแดนแห่งนี้
อินเดีย เป็นดินแดนแห่งความลึกลับ เป็นดินแดนที่มีมนต์ขลัง จึงไม่แปลกเลยที่หลาย ๆ คน ต่างวาดฝัน อยากจะมาสัมผัสกับมนต์เสน่ห์ของอินเดีย ที่ทำให้ทั่วทักทวีปต่างหลงใหล กับการได้สัมผัสกับกลิ่นอายของดินแดนแห่งนี้ และต่างวาดฝันไปต่าง ๆ นานา ที่จะได้สัมผัสเข้าสักวันหนึ่ง
นั่นคือมนต์เสน่ห์ของอินเดีย หญิงสาว นริตต้า กาจัล.....