.

.
"สุขา สังฆัสสะ สามัคคี ความพร้อมเพรียงของหมู่คณะ ทำให้เกิดสุข"
ข่าวประชาสัมพันธ์



ขอประกาศเลิกอัฟเดทข้อมูลที่Blogแห่งนี้
สามารถเข้าไปใช้งาน website อย่างเป็นทางการได้ที่
http://www.tsa-bhu.org/


ข่าวเด่น

* ขอแสดงความยินดีแด่.. พระครูใบฎีกา ดร. มานิตย์ เขมคุตโต , พระมหา ดร. ธีรชัย ปุญฺญชีโว , พระ ดร. ราเชนทร์ วิสารโท ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกที่ B.H.U. ในปี ๒๕๕๓






* สมาคมพระนักศึกษาไทย มหาววิทยาลัยเมืองพาราณสี ร่วมใจกันลงอุโบสถ ที่วัดไทยสารนาถ พร้อมเจริญพระพุทธมนต์ ณ ธัมเมกขสถูป เนื่องในวันมาฆบูชา วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์





สมาคมพระนักศึกษา นักศึกษาไทย มหาวิทยาลัยเมืองพาราณสีได้ร่วมใจกันจัดงานประเพณีสงกรานต์ "๑๓ เมษา เสนคุปต้ามหาสงกรานต์" ประจำปี ๒๕๕๓ ณ หอเสนฯ โดยมีคณาจารย์ทางมหาลัย และต่างชาติเข้าร่วมนับร้อยชีวิต ในวันที่ ๑๓ เมษายน ที่ผ่านมา





* พระนักศึกษา นักศึกษาไทย มหาวิทยาลัยเมืองพาราณสี ร่วมใจกันจัดกิจกรรมพิเศษ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ (๕ ธันวามหาราช) เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล





* ๕ ธันวามหาราช ขอเชิญร่วมถวายภัตตาหารเพลพระนักศึกษาไทย และนานาชาติ จำนวน ๘๒ รูป และร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพรได้ที่ หอเสนคุปตลอล์จ ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒





* กฐินสังฆประชาสามัคคี ณ หอเสนคุปตาลอจ์ด มหาวิทยาลัยบาณารัส ฮินดู วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๒ นำโดย พระธรรมวรนายก เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา


สัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนากับธนบัตรอินเดีย

                  IndianRupeeR ประเทศอินเดียเป็นดินแดนเกิดของศาสนาและลัทธิที่มีความสำคัญหลายลัทธิ ศาสนาพุทธเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ถึงแม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเลือนหายไปจากความทรงจำของชาวอินเดียแล้วก็ตาม แต่ทว่าชาวอินเดียก็ยังนับถือพระพุทธศาสนาในทางอ้อม (แบบไม่รู้ตัว) เพราะตราประจำชาติของอินเดียคือสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา นั่นคือเสาหัวสิงห์สี่หัว ของพระเจ้าอโศกมหาราชจอมราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้สร้างเอาไว้ แต่ครั้นกาลเวลาผ่านไป ก็ได้ถูกคุกคามโดยศาสนาต่าง ๆ เข้ามาทำลายแทบจะไม่มีเหลือหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าเคยมีพระพุทธศาสนาเลย แม้แต่มหาวิทยาลัยแห่งแรกของพระพุทธศาสนาก็ยังมิวายโดนทำลายด้วย นั่นคือมหาวิทยาลัยนาลันทา ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีหลักฐานเอกสารการศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนามากมายหลายอย่าง อาทิเช่น พระไตรปิฎก ตราสัญลักษณ์ เครื่องบูชา พระพุทธรูปปางต่าง ๆ เป็นต้น แม้แต่กระนั้นเหล่าสงฆ์ที่ทำการศึกษาอยู่ที่นั่นจำนวนเป็นหมื่น ๆ ก็ยังโดนฆ่าเหมือนกัน แล้วนับประสาอะไรกับสิ่งที่เคลื่อนที่ไม่ได้จะมิโดนทำลาย ปัจจุบันยังคงเหลือแต่รอยความทรงจำ ซากปรักหักพัง (ก้อนอิฐ หิน ทราย) และรอยความเจ็บช้ำที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ศาสนา ที่ถูกบันทึกไว้โดยสมณะเฮี้ยนจัง หรือ (จดหมายเหตุของพระถังซำจั๋ง) และผู้ขุดค้นเป็นนักโบราณคดีชาวอังกฤษชื่อ เซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม

                   จะอย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องราวที่ผ่านมาจากอดีต ถึงแม้พระพุทธศาสนาจะถูกทำลายลงอย่างไร้ร่องรอยแห่งความสมบูรณ์แบบ แต่เสาหินของพระเจ้าอโศกมหาราชที่ได้สร้างไว้เพื่อบูชาคุณของพระพุทธศาสนา จำนวน 84000 ต้น ก็ยังคงเหลือความสมบูรณ์แบบไว้ให้ชาวพุทธ นักโบราณคดี ผู้ที่สนใจทั่วไปได้คอยดื่มด่ำถึงความวิจิตรพิสดาร ความประณีต ความละเอียด และความสวยงามของหัวเสาของพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ได้ทรงพระปณิธานสร้างถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา ถึงแม้ว่าจะหลืออยู่เพียงไม่กี่ต้นก็ตาม แต่ต้นที่เหลือก็สมบูรณ์แบบที่สุด

                   huasingha ปัจจุบันหัวเสารูปสิงห์สี่หัวก็ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สารนาถ เมืองพาราณสี ประเทศอินเดียซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับธัมเมกขสถูป ซึ่งเป็นสถานที่แสดงธรรมครั้งแรก และอยู่ใกล้กับป่าอิสิปตนมฤคทายาวัน (สวนกวาง) และเป็นสถานที่เกิดพระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนาด้วย โดยนักโบราณคดีชาวอังกฤษแปลกใจตรงที่ถึงแม้ว่าต้นเสาจะถูกทำลาย โดยหักเป็นท่อน ๆ แต่หัวสิงห์ที่อยู่บนยอดเสากลับไม่ถูกทำลายโดยแม้แต่น้อย นั่นหมายถึงอำนาจความศรัทธาที่มั่นคงแน่วแน่ของพระเจ้าอโศกมหาราช และด้วยอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกปักอารักขาอยู่ที่นั่นด้วยกระมัง จึงทำให้สัญลักษณ์ซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนคำสอนของพระบรมศาสดา ไม่ถูกทำลายลงด้วยอำนาจความอิจฉาริษยาของคนใจชั่วเหล่านั้น ทางรัฐบาลอินเดียจึงได้นำเอาหัวสิงห์สี่หัวนี้เป็นสัญลักษณ์ตราแผ่นดินคงเป็นเพราะทึ่งใจความพิสดารของช่างในยุคนั้นเป็นแน่ ที่สำคัญไปกว่านั้นธนบัตรของอินเดียทุกฉบับยังคงใช้ตราหัวสิงห์เป็นสัญลักษณ์อีกด้วย (ในเหรียญ 5 รูปียังคงใช้ตราธรรมจักร) จึงถือได้ว่าชาวอินเดียถึงแม้จะไม่นับถือพระพุทธศาสนาโดยตรง แต่ก็ยังยอมรับสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาโดยทางอ้อม และยังบูชาทุกครั้งที่ได้ธนบัตรมา โดยการนำเอาธนบัตรแตะตรงหน้าผากของตนเอง นั่นหมายถึงการบูชาโดยทางอ้อมนั่นเอง แล้วเราในฐานะที่เป็นชาวพุทธโดยตรง จะไม่ยอมรับและนับถือก็กระไรอยู่ พร้อมนำความหมายที่อยู่ในสัญลักษณ์เหล่านั้นมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตรใจ โดยการนำคำสอนของพระพุทธองค์มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเรา ธัมมจักรมีอยู่ 12 ซี่บ้าง 8 ซี่บ้าง นั่นหมายถึง ปฎิจจสมุปบาท (Dependent Origination) อริยมรรค 8 ประการ (Eight Fold Paths) เป็นต้น แต่ตราธัมมจักรในธนบัตรของอินเดียมีจำนวน 28 ซี่ นั้นหมายถึงการทำกิจวัตรประจำวันที่มีอยู่ทั้งวันทั้งคืน ก็คือทำกิจในเต็ม 24 ชั่วโมง แม้แต่ในภควัทคีตา ก็กล่าวไว้โดยให้ทุกคนนั้นสำนึกในหน้าที่ของวรรณะของตน เป็นต้น

              ถึงเวลาแล้วที่เราชาวพุทธจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับพระพุทธศานา พร้อมทั้งนำหลักคำสอนที่มีคุณค่ามาประยุกต์ใช้ให้เกิดมีกับตนเองตลอดทั้งครอบครัว และสังคม คนไทยเรายังมีแบบอย่างของพุทธศาสนิกชนที่ดีให้เราน้อมนำมาเป็นแบบอย่างได้ นั้นคือพระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัวของชาติไทยทุก ๆ องค์ โดยเฉพาะในหลวงรัชกาลปัจจุบัน พระองค์เป็นพุทธมามกะ และเป็นพุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติหน้าที่ของความเป็นพุทธศาสนิกชนที่สมบูรณ์แบบได้เป็นอย่างดี ธรรมที่ใช้ปกครองประชาราษฎร์ ก็คือทศพิธราชธรรม ซึ่งเป็นธรรมของราชา แม้แต่พระเจ้าอโศกมหาราชก็ยึดทศพิธราชธรรมนี้แหละเป็นเครื่องปกครองพสกนิกรของพระองค์ ทำให้เกิดความผาสุก ร่มเย็น ตลอดเสมอมา พระมหากษัตริย์ไทยทุก ๆ พระองค์ทรงเป็นศาสนูปถัมภกต่อสถาบันพระพุทธศาสนาโดยทุกรัชกาล

               ในฐานะที่เราเป็นพสกนิกรของพระองค์ ควรนำปณิธานของท่านมาเป็นแบบอย่างแห่งการปฏิบัติ เพื่อพัฒนาตนเอง ครอบครัว หน้าที่การงาน ตลอดทั้งประเทศชาติ จะได้มีความสงบสุขร่มเย็นตลอดชั่วกาลนาน จะได้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พบกับมหาราชาผู้ตั้งอยู่ในธรรม เราอยู่ในดินแดนแห่งความสุขแล้ว ไยไม่นำความสุขเหล่านั้นมาอยู่กับตนเองเล่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” “เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก”

            เชิญเถิดเหล่าพุทธศาสนิกชนทุกท่านอย่าให้เขาดูถูกชาติไทยว่า “ใกล้เกลือกินด่าง” เลย ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเร่งทำความดี เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และตนเองเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีเทอญ

Source : สิทธราถสาร ฉบับ ธรรมจักขจร ฉบับที่ 10 ปี 2549

หนึ่งในตำนานคงคา

หนึ่งในตำนานคงคา

มีตำนานมากมายที่ได้กล่าวถึงการกำเนิดของแม่น้ำคงคา หนังสือจำนวนมาก ซึ่งสามารถหาได้จากวัดหรือเมืองต่าง ๆโดยเฉพาะริมฝั่งแม่น้ำคงคา บรรยายสรรเสริญอำนาจที่สามารถชำระล้างบาปและสิ่งไม่ดีทั้งหมดของผู้ได้ชำระ ร่างกาย ตำนานของแม่น้ำคงคานั้นมีมากมายและเรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่มีชื่อเสียง มากและได้รับการเล่าสืบต่อกันอย่างกว้างขวาง.....
กษัตริย์ในสมัยโบราณพระองค์หนึ่งนามว่าสาคร(Sagar)ครั้งหนึ่งได้ปกครอง อินเดียทรงมีโอรสถึงหกหมื่นพระองค์วันหนึ่งในขณะที่กำลังเสาะหาม้ามงคล โอรสเหล่านั้นได้ไปรบกวนการทำสมาธิของฤๅษีตนหนึ่งเป็นเหตุให้ฤๅษีโกรธมากและ ได้เผาโอรสทั้งหกหมื่นจนเป็นขี้เถ้าด้วยอำนาจที่เกิดจากการทำสมาธิ วิญญาณของโอรสทั้งหกหมื่นได้ถูกกีดกันที่จะสัมผัสน้ำบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะปลดปล่อยโอรสเหล่านั้นไปสู่สุขติได้ดังนั้นวิญญาณของโอรสเหล่านั้นจึงไปรบกวนพระเจ้าสาคร (King Sagar) เมื่อพระเจ้า
gangamaสาครสิ้นพระชนม์เหล่าวิญญาณของโอรสได้ไปรบกวนพระ นัดดา(หลาน)ผู้เป็นกษัตริย์สืบต่อจากพระเจ้าสาครนามว่า ภังคีรถ (Bagiratha) ด้วยความปรารถนาที่จะช่วยปลดปล่อยเหล่าวิญญาณจากความทุกข์และเพื่อความสงบสุขของพระองค์เองพระเจ้าภังคีรถ(Bagiratha)ได้สละพระราชสมบัติและสวดอ้อนวอนต่อพระแม่คงคา (Mother Ganga)ในขณะนั้นเป็นผู้หลั่งน้ำเฉพาะบนสวรรค์เพื่อความสำราญของเหล่าเทวดาทั้งหลาย ให้หลั่งน้ำลงมาที่โลกมนุษย์บ้าง พระองค์จึงได้ทำสมาธิที่เขาหิมาลัย (Himalayas) เป็นเวลานาน จนกระทั่งชนะใจของพระแม่คงคา (the river goddess)พระแม่คงคาได้ปรากฏต่อหน้าพระองค์เพื่อเป็นรางวัลต่อการอุทิศตน บำเพ็ญสมาธิและได้เมตตายินยอมที่จะหลั่งน้ำลงสู่โลกมนุษย์ ท้าวศิวะ (Lord Shiva) ทรงเห็นด้วยและยกเอาสายน้ำนั้นไว้บนศีรษะของพระองค์ ด้วยวิธีนี้สามารถลดความรุนแรงของสายน้ำลงได้มิฉะนั้นแล้วโลกมนุษย์จะถูกทำลายด้วยสายน้ำนั้น
สายน้ำนั้นได้ไหลผ่านปอยเกศา(ปอยผม)ของท้าวศิวะสู่โลกมนุษย์และสัมผัสขี้ เถ้าของเหล่าโอรสทั้งหกหมื่นและปลดปล่อยโอรสเหล่านั้นไปสู่สุขติ จากนั้นสายน้ำได้ไหลอย่างรวดเร็วผ่านภูเขาต่างๆ จนอ่อนกำลังลง และได้ไหลไปสู่พื้นที่ราบนามว่า หริญทวาร (Haridwar) และกลายเป็นมหาสมุทรและด้วยอำนาจแห่งการทำลายและปลดปล่อยของสายน้ำ แม่น้ำในปัจจุบันนี้จึงเป็นแหล่งชำระล้างที่ทรงพลังของชาวฮินดูหลายล้านที่ เดินทางมาแต่ละปีเพื่อที่จะชำระร่างกายของตนและเพื่อเผาศพผู้ตาย....


ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ

Translated from:http://faculty.maryvillecollege.edu/pennington/yatra/gangotri2.htm

ปริญญาสาขาพ้นทุกข์

ปิ่นวารี

 

           เมื่อมีโอกาสได้เดินทางออกจากต่างจังหวัดเพื่อหาความรู้มาประดับสติ10593511 ปัญญา มีคนบอกว่าขอให้เราก้าวออกจากที่เดิมเพียงหนึ่งก้าว ท่านก็จะได้ความรู้เต็มตะกร้าแล้ว....ก็เห็นท่าจะจริงอย่างที่เขาว่ากัน........

พอวันจะเดินทางจริงทั้งความกลัว ความกล้า ความอาย ความมึนมาโหมกันใหญ่กว่าจะก้าวเท้าออกจากที่พักได้ก็ปลอบใจตัวเองอยู่เสียนาน สุดท้ายก็ไปจนได้ นี่แหละนะที่เขาว่า บางอย่างก็ไม่อาจจะหาซื้อได้ด้วยเงิน..แต่ต้องเอาตัวตนของตนเองเป็นเส้นทางผ่านเพื่อแลกเอาประสบการณ์ก่อนที่คนอื่นจะมาถอนเส้นผมหอกก่อนที่จะชรา หากใครมีเวลาก็อย่านิ่งดูดายรีบไปหาดูวัวควายและธรรมชาติก่อนที่จะไม่ได้เห็น เพราะอะไรรู้ไหม เพราะสังคมเมืองกำลังเข้าไปอยู่ทุกจุดของโลกแล้ว จนเราจะเห็นความไม่แตกต่างบนพื้นโลก.....

           แม้แต่ประเทศอินเดียที่สามารถไปกิน “กะลัมจ๋าย”(ชาร้อนใส่นม) อร่อย ๆ ได้ที่อยู่เทือกเขาหิมาลัยต้นกำเนิดแม่น้ำคงคา ซึ่งใคร ๆ ที่ได้ไปก็จะมีคำตอบของคำถามที่ว่า แม่น้ำคงคาไหลมาจากสรวงสวรรค์จริงหรือ หรือแม่น้ำศักสิทธิ์จริงไหม ผมแน่ใจว่า คุณจะได้คำตอบหลาย ๆ คำทีเดียว แต่ต้องแลกกับการก้าวท้าวของท่านออกจากที่ ๆท่านอยู่ จะไม่ต่างกับผู้เขียนขณะเดี๋ยวนี้ที่ก้าวเท้ามาถึงหมอชิตแล้ว ก็ได้คำถามขึ้นมาอีกว่า ทำไมต้องเป็นหมอชิต หมอชื่ออื่นไม่ได้หรือ

สังคมวันนี้ทุกหัวระแหงกำลังถูกมนุษย์ปฏิวัติให้ครอบครัวกลายเป็นบริษัท ที่ทุกคนที่เกิดมาก็มีค่าหัวและค่าตัวแล้ว ท่านที่เกิดมาตั้งแต่บัดนี้ก็จะเจอสมบัติเงินทองเก็บไว้ใช้จ่ายทุกอย่างแม้แต่ทรัพยากรมนุษย์ก็ถูกตีค่าหรือกำหนดราคาไว้แล้ว

            ล้อเกวียน คันไถ ไม้ทำคอกวัว ควาย ท่านจะไม่ค่อยได้เห็นในต่างจังหวัดหรอก แต่จะได้เห็นตามบ้านคนรวยหรือบ้านจัดสรรในเมืองหลวงซึ่งทำเป็นของแต่งบ้าน เจ้าทุยในท้องนาจึงขาดเพื่อนที่จะต้องลากไถนาแต่ก่อนเราเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งธรรมดา แต่เดี๋ยวนี้มีค่ามีราคาซึ่งรวมถึงดินและน้ำอันเป็นปัจจัยชีวิตที่ไม่ต้องซื้อหา การหมุนเวียนจึงถูกตีค่าด้วยสิ่งแลกเปลี่ยนที่เรียกว่า “เงิน” ซึ่งแต่เดิมก็เป็นแค่กระดาษธรรมดา นำมาสมมุติตีค่า ทำให้ความดิ้นรนของคนเราจึงมีมากขึ้น ความไม่สบายที่เป็นความทุกข์ก็มีมากขึ้น คนที่ทำนาก็ลดน้อยลง เพื่อที่จะพยายามผลักดันครอบครัวและตัวเองให้อยู่ในความเป็นสังคมเมือง จากผืนนากลายเป็นโรงงาน เป็นบ้านจัดสรร เป็นห้างสรรพสินค้าที่โก้หรู เป็นห้าง ที่นำเอาสินค้ามากำหนดราคาตีค่าว่าสุดคุ้มค่าแต่ไปกดราคาจากผู้ผลิตและจัดหาวัตถุดิบและเป็นถนนให้รถวิ่งไปรับทรัพยากรทั้งหลายมาแลกเปลี่ยนกันง่ายขึ้น จนหลาย ๆ คนเป็นเศรษฐีเงินผ่อน เพื่อที่ได้ปัจจัยที่ห้ามาใช้ ทั้งรถยนต์ ตู้เย็น โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องประดับ และเครื่องดื่ม ฯลฯ เอาเป็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นต้องใช้ขาดไม่ได้เสียแล้ว ทำให้เราลืมสิ่งสำคัญจริง ๆ มีอะไรบ้าง ดูผิวเผินจะเห็นว่าคนไทยเราคนจนน้อยลง และหาเอาแว่นขยายมาขยายดูที่ใจใกล้ ๆ จะเห็นว่าคนไทยเป็นคนจนเกินครึ่งค่อนประเทศเพราะคนไทยมีหนี้สินที่เผื่อแผ่กันในทุก ๆ ที่ จนได้รับฉายาว่า “คนไทยใจเกินร้อย” เพราะทุกอย่างซื้อได้ด้วยเงินดาวน์ เงินผ่อนแบบสบาย ๆ ตลอดชีวิตทำงาน และซื้อกันเกินเงินเดือนเกินรายได้ แล้วจะบอกว่าคนไทยร่ำรวยเจริญขึ้นจริงหรือ........

            เดินทางมาถึงอีสานใต้ เป็นจังหวัดที่มีตำนานว่า “ตำน้ำกิน” จะจริงหรือเท็จก็ตามเหตุผลที่สภาพภูมิจังหวัดที่บ่งบอกที่ส่วนหนึ่งติดทุ่งกุลาร้องไห้ ขนาดทุ่งกุลายังต้องไปร้องไห้ถึงโน่นเลยคิดดูว่าจะแล้งสุดระทมขนาดไหน แต่นั้นเป็นอดีตกาลไปแล้ว ปัจจุบันจังหวัดบุรีรัมม์เป็นจังหวัดที่หลาย ๆ จังหวัดต้องจับตามอง เพราะเป็นพื้นที่สีเขียวกับน้ำใส ภายใต้ฟ้าสีคราม และมีคนฝรั่งตาน้ำข้าว มาจากหลายประเทศเดินขวักไขว่กันทุกเมืองทุกหมู่บ้านก็ว่าได้

              อาจจะถือว่าเป็นมนต์ตราเสนห์ของอดีตแผ่นดินนี่ที่เป็นแผ่นดินขอมหลังภูเขาไฟระเบิด ภาพเทพี นารีฟ้าที่มีท่าร่ายรำ ดวงหน้าที่เด่นที่งดงามทำให้คนที่อยู่ไกลต่างมายังดินแดนที่มีมนต์ ที่สามารถมองเห็นธรรมชาติมีความเป็นอยู่สอดคล้องกับชีวิตคนในปัจจุบัน ประวัติที่ยาวนานสะท้อนให้เห็นความเป็นนครที่มีความศักสิทธิ์อย่างเขาพนมรุ้ง และใครที่ยังต้องการความสงบสุขของใจ มีให้เลือกสรร ระหว่างการเอาธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ที่เขียวขจี ดูสดชื่นมาเป็นเพื่อนยามเหนื่อยล้าเพราะมีอุทยาน และป่าชุมชนมากมาย และหากจะเลือกสรรมุมสงบทางปัญญาที่มีป่าและธรรมชาติโอบล้อม ดินแดนแห่งนี้มีให้มากมาย มีพระสายพระป่าที่ดำรงการปฏิบัติธรรมที่น่าเลื่อมใสหลายรูป และมักสอนให้คนในสังคมอยู่อย่างไม่ประมาทในกิเลสที่เดินได้ ยั่วยุอยู่ทุกวัน ท่านมักสอนให้มองเห็นจุดยืนของตนเองที่มีความเป็นอิสระในตัว ที่ใครที่ได้รับฟังจะต้องมองดูตัวเองว่าปริญญาที่ร่ำเรียนมาเป็นสิ่งน้อยนิด ครั้งนี้ผู้เขียนได้เจอพระหลวงตาสายปฏิบัติโยนกุญแจชีวิตให้

“ท่านมหาอย่าลืมนะ จบปริญญาตรี โท เอก หรือด๊อกเตอร์ก็ยังมีกิเลสอยู่”

            จบอย่างนี้ก็ยังอยู่ในสังสารวัฏอยู่นะ แต่มาเรียนสายของพระพุทธเจ้าน่ะจบทั้งโลกเลย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกเอาอย่างไหน ชอบกำหรือชอบแบมือ เรียนก็เรียนได้อยู่ แต่ก็อย่าเอากิเลสมาเป็นสรณะ ไม่งั้นความหลงในวัฏสงสารคงจะต่อไปเรื่อย ๆ ความอยากถ้าอยากไม่ถูกก็เป็นทุกข์เป็นภัย ถ้าอยากถูกทางก็เป็นสุขเป็นที่พึ่ง ให้ปัดฝุ่นกิเลสออกจากในทุกวัน ภพชาติจะได้น้อยลง เรามาห่มผ้าเหลือกปฏิบัติเอาละเอาวาง เอาธรรมมารักษาใจให้ใสสะอาด ไม่ใช่มานุ่งผ้ามาปฏิบัติเอากิเลสเข้าตัวเอง สะสมแต่อัตตาเข้าตัวเสียชื่อเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าหมด...ครับเมื่อเจอธรรมะกลางป่า กิเลสทั้งหมายแหล่ไม่มีหลบซ่อนเลย เจอธรรมะมาปฏิวัติวันแรกก็ทำให้รู้สึกเย็นใจ เหมือนถูกลมพัดเอาฝุ่นกิเลสออก เลยอยู่ปฏิวัติกับกิเลสอยู่เดือนกว่า ๆ กลับเข้ามากรุงเทพฯ ทุกคนมองและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ใช่ไปอยู่ต่างจังหวัดหรือเปล่า เห็นว่าไปบุรีรัมย์ ทำไมดูขาวขึ้น ผิวผ่องขึ้นเลย ผู้เขียนได้แต่ยิ้ม ๆ ได้แต่คิดในใจ..ไม่ได้ขาวได้ไงก็กิเลสถูกถลกหนัง ทั้งขูด ทั้งเฆี่ยนตีทุกวัน...น่าศึกษา น่าปฏิบัติ ปริญญาสายพระพุทธเจ้ายังมีหลายแห่งทั่วเมืองไทย เว้นไว้ว่าจะมีใครก้าวเท้าไปคารวะผู้ที่เรียนว่าพระอาจารย์ ที่เรียกได้เต็มปากเต็มคำ บุญมาวาสนาส่งก็จะได้ไปเจออาจารย์ของตนเองที่ตามมาพร่ำสอนศิษย์ที่ยังเดินทางอ้อมอยู่ เพียงอย่าเดินเลยเถิดไปจนงัดตนเองไม่ขึ้น เดี๋ยวนี้กิเลสเดินได้ และสร้างตัวเองอยู่ในความสะดวกสบาย และอยู่ในวัตถุนิยมที่ทำให้ความหลงบดบังสายตา และเข้ามาประชิดตัวเราอยู่ทุกเมื่อ

“มีสิตรู้เท่าทัน” คือคาถาป้องกันการเป็นปัญญานิ่ม ปัญญาเตลิดและหลวงตาท่านฝากใส่ย่ามพกติดตัวเสมอคือคาถา “อย่างส่งจิตออกนอก” หากทำได้ สมุนของกิเลสก็จะถูกตัดทอนเสบียงและดับไปในที่สุด ธรรมะเป็นสิ่งที่สุขุม นุ่มลึก ขมนอกหวานใน ต้องน้อมเข้ามาหาตัว หรือเอาตัวเข้าไปหาธรรมบ่อย ๆ จึงจะรู้รสพระธรรม นอกจะได้แบกบาตรแบกโน๊ตบุ๊คเข้าป่าก็ไม่เสียเที่ยว ได้ทั้งพระอาจารย์ที่ตามมาสอนก่อนที่อายุท่านจะดับ ได้เห็นปริญญาสายพระพุทธเจ้าที่ยังมีคนเดินมากมาย ไม่เว้นแต่พระเท่านั้น ญาติโยมทั้งหลายผู้เป็นทุกข์ สละทุกข์เดินนำหน้าก็มีเยอะเห็นต้นไม้พูดได้ต้นหนึ่งพูดว่า

“คนตาดี จูงคนตาบอด เดินไปไม่รอด คนตาบอดจูงคนตาดี”

            การเดินทางเที่ยวนี้ยังไม่จบอยู่เพียงแค่นี้ เพราะลมหายในยังพาก้าวย่างไปข้างหน้า แต่ก็ได้อะไรหลายอย่างจากทุกก้าวที่ถูกแรงกรรมเหวี่ยงไปตกในที่ไม่เคยไป คงไม่ต่างกับลูกไม้ที่ถูกลมพัดไปทุกทิศจนกว่าจะสิ้นสุดของจุดหมายปลายทางที่มีคำว่า “วาง” ที่บางทีก็ต้องหันมาศึกษาปริญญาในตัวตนของตัวเอง....ที่ทุกท่านไม่ควรลืมศึกษาในปริญญาสายพระพุธเจ้า....

Source : Siddharth Sarn Vol. 12 , 2008

 

ผู้ติดตาม

ออนไลน์หน้านี้

free counters